Diary no.5

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 5 วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 13.30 - 16.30

ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ (ต่อ) 
     6. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities)
            เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning Disability) คือเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง ซึ่งไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
สาเหตุของ LD
         เกิดจากกรรมพันธุ์และความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้ (เชื่อมโยงภาพ ตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
ประเภทของเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
               เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ L.D. นั้น เราแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. ด้านการอ่าน (Reading Disorder)
        เด็กที่มีความบกพร่องในด้านนี้จะอ่านหนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย ทั้งยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้ เช่น
         เด็กปกติ                                             เด็กที่บกพร่องด้านการอ่าน
            หาว        ------------------------------>                 หาม/หา   
            ง่วง         ------------------------------>                 ม่วง/ม่ง/ง่ง
            เลย         ------------------------------>                 เล
            อาหาร     ------------------------------>                 อาหา
            เก้าอี้       ------------------------------>                 อี้
            อรัญ       ------------------------------>                  อะไร
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการอ่าน
     • อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้
     • อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน
     • เดาคำเวลาอ่าน
     • อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
     • อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน
     • ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
     • ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน
     • เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้
2. ด้านการเขียน (Writing Disorder)
             เด็กที่มีความบกพร่องในด้านนี้จะเขียนตัวหนังสือผิด สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด และจะเขียนสลับ เช่น สถิติ เขียนเป็น สติถิ
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน
     • ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ
     • เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ
     • เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน เช่น ม-น, ภ-ถ, ด-ค, พ-ผ, b-d, p-q, 6-9
     • เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้ แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้
     • เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา
     • เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด
     • จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก
     • สะกดคำผิด โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์
     • เขียนหนังสือช้าเพราะกลัวสะกดผิด
     • เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ
     • ลบบ่อยๆ เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง
ตัวอย่างของเด็ก L.D. ด้านการเขียน
           เด็กปกติ                                             เด็กที่บกพร่องด้านการอ่าน
           บาดแผล     ------------------------------>              ปาลแผล
           รัฐบาล        ------------------------------>             รัมระบาล
           ผีเสื้อสมุทร  ------------------------------>             ผีเสื้อมดุร
           กรรไกร       ------------------------------>               ไกรรง
           เกษตร        ------------------------------>              เกสรกะ
           บรรทุก        ------------------------------>              ดักทุก

ตัวอย่างการเขียนของเด็ก L.D ที่บกพร่องด้านการเขียน
 3. ด้านการคิดคำนวณ (Mathematic Disorder)
          เด็กที่มีความบกพร่องในด้านนี้จะลำดับตัวเลขผิด ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย และแก้โจทย์ปัญหาเลขไม่ได้
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ
     • ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด
     • นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้
     • คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว
     • จำสูตรคูณไม่ได้
     • เขียนเลขกลับกันเช่น 13 เป็น 31
     • ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น
     • ตีโจทย์เลขไม่ออก
     • คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย
     • ไม่เข้าใจเรื่องเวลา
4. หลายๆ ด้านร่วมกัน
          คำว่าหลายๆ ด้านรวมกันนี้คือ ความบกพร่องด้านการอ่านกับการเขียนควบคู่กัน โดยเด็กผู้ชายจะเป็น L.D. มากกว่าผู้หญิงสองเท่า และในด้านการคำนวณนี้เด็กผู้หญิงจะเป็นL.D. มากกว่าผู้ชายสองเท่าเช่นกัน
อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD
     • แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก
     • มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา
     • เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา
     • งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี
     • การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี
     • สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)
     • เขียนตามแบบไม่ค่อยได้
     • ทำงานช้า
     • การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี
     • ฟังคำสั่งสับสน
     • คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี
     • ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน
     • ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี
     • ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา
     • ทำงานสับสนไม่เป็นขั้นตอน
      7. ออทิสติก (Autistic)
            ออทิสติกหรือ ออทิซึ่ม (Autism) คือเด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่สามารถเข้าใจคำพูด ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น และไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม โดยเด็กออทิสติกแต่ละคนนั้นจะมีเอกลักษณ์ของตนเองและจะเป็นออทิสติกแบบนี้ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต เราสามารถสังเกตเด็กว่าเป็นออทิสติกได้ด้วยอาการของเค้า คือ เด็ดออทิสติกจะ "ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว" 
ลักษณะของเด็กออทิสติก
     • อยู่ในโลกของตนเอง
     • ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
     • ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
     • ไม่ยอมพูด
     • เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
            อาการของเด็กปกติ                                        อาการของเด็กออทิสติก
            ดูหน้าแม่                                -------------->        ไม่มองตา
            หันไปตามเสียง                        -------------->        ทำเหมือนหูหนวก
            เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม                  -------------->        เคยพูดได้แต่ต่อมาหยุดพูด
            ร้องเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้    -------------->        ไม่สนใจคนรอบข้าง
            จำหน้าแม่ได้                           -------------->        จำคนไม่ได้
            เปลี่ยนของเล่น                        -------------->        นั่งเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
            เคลื่อนไหวอย่างมีจุดมุ่งหมาย     -------------->         มีพฤติกรรมแปลก
            สำรวจและเล่นตุ๊กตา                 -------------->         ดมหรือเลียตุ๊กตา
            ชอบความสุขและกลัวความเจ็บ   -------------->

**เกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกองค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา**
ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ
     – ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น
     – ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
     – ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
     – ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ
     – มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
     – ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
     – พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสม
     – ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ
มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ
     – มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
    – มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
     – มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ
     – สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
พฤติกรมการทำซ้ำ
     • นั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง
     • นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
     • วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น
     • ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้าน (ก่อนอายุ 3 ขวบ)
     – ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
     – การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
     – การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
ไม่สามารถวินิจฉัยให้เข้าข่ายโรคใดๆได้
ออทิสติกเทียม
     • ปล่อยให้เป็นพี่เลี้ยงดูแลหรืออยู่กับผู้สูงอายุ
     • ปล่อยให้ลูกอยู่กับไอแพด
     • ดูการ์ตูนในทีวี
Autistic Savant
     • กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker)
จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking)
     • กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (music, math and memory thinker)
จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down thinking)




ที่มา : เอกสารการสอน โดยอาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
เรียบเรียง : นางสาวนพเก้า  โมลาขาว นักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย

ความรู้ที่ได้รับ
            เราได้รู้ และได้เข้าใจรายละเอียดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น ได้รู้ถึงอาการ สาเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่หมอ แต่การทราบถึงรายละเอียดต่างๆ ของเด็กพิเศษก็ทำให้เราสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กพิเศษได้ในฐานะครูคนหนึ่ง

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
1. ทำให้เรารู้ และเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากยิ่งขึ้น
2. เมื่อเรารู้และเข้าใจแล้ว ในฐานะที่เราเป็นครูปฐมวัยเราต้องให้ความช่วยเหลือและจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเขา

การประเมินผล
1. ตนเอง :ตั้งใจเย็น จดความรู้
2. เพื่อน : ตั้งใจเรียนมาก สนุกกับสิ่งที่อาจารย์สอน
3. อาจารย์ :สอนดี ถึงแม้จะเป็นคาบทฤษฎีก็เรียนได้โดยไม่เบื่อ และไม่อึดอัด ชอบที่มีเคทของเด็กจากประสบการณ์ที่อาจารย์เจอมาเล่าให้นักศึกษาฟัง นับว่าเป็นความรู้ที่นักศึกษาเหมือนกับได้สัมผัสกับของจริงเลย




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น