ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ (ต่อ)
6. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ (Children with Learning Disabilities)
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เรียกย่อ ๆ ว่า L.D. (Learning
Disability) คือเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้เฉพาะอย่าง
ซึ่งไม่นับรวมเด็กที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อยทางการเรียน
เด็กที่มีปัญหาเนื่องจากความพิการ หรือความบกพร่องทางร่างกาย
สาเหตุของ LD
เกิดจากกรรมพันธุ์และความผิดปกติของการทำงานของสมองที่ไม่สามารถถอดรหัสตัวอักษรออกมาได้
(เชื่อมโยงภาพ ตัวอักษรเข้ากับเสียงไม่ได้)
ประเภทของเด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ L.D. นั้น เราแบ่งได้ออกเป็น 3 ประเภทคือ
1. ด้านการอ่าน (Reading Disorder)
เด็กที่มีความบกพร่องในด้านนี้จะอ่านหนังสือช้า ต้องสะกดทีละคำ
อ่านออกเสียงไม่ชัด ออกเสียงผิด หรืออาจข้ามคำที่อ่านไม่ได้ไปเลย
ทั้งยังไม่เข้าใจเนื้อหาที่อ่าน หรือจับใจความสำคัญไม่ได้ เช่น
เด็กปกติ เด็กที่บกพร่องด้านการอ่าน
หาว ------------------------------> หาม/หา
ง่วง ------------------------------> ม่วง/ม่ง/ง่ง
เลย ------------------------------> เล
อาหาร ------------------------------> อาหา
เก้าอี้ ------------------------------> อี้
อรัญ ------------------------------> อะไร
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการอ่าน
• อ่านช้า อ่านคำต่อคำ ต้องสะกดคำจึงจะอ่านได้
• อ่านออกเสียงไม่ชัดเจน
• เดาคำเวลาอ่าน
• อ่านข้าม อ่านเพิ่มคำ อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
• อ่านโดยไม่เน้นคำ หรือเน้นข้อความบางตอน
• ผันเสียงวรรณยุกต์ไม่ได้
• ไม่รู้ความหมายของเรื่องที่อ่าน
• เล่าเรื่องที่อ่านไม่ได้ จับใจความสำคัญไม่ได้
2. ด้านการเขียน (Writing Disorder)
เด็กที่มีความบกพร่องในด้านนี้จะเขียนตัวหนังสือผิด
สับสนเรื่องการม้วนหัวอักษร เช่น จาก ม เป็น น หรือจาก ภ เป็น ถ เป็นต้น
เขียนตามการออกเสียง เช่น ประเภท เขียนเป็น ประเพด และจะเขียนสลับ เช่น
สถิติ เขียนเป็น สติถิ
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการเขียน
• ลากเส้นวนๆ ไม่รู้ว่าจะม้วนหัวเข้าในหรือออกนอก ขีดวนๆ ซ้ำๆ
• เรียงลำดับอักษรผิด เช่น สถิติ เป็น สติถิ
• เขียนพยัญชนะหรือตัวเลขสลับกัน เช่น ม-น, ภ-ถ, ด-ค, พ-ผ, b-d, p-q, 6-9
• เขียนพยัญชนะ ก-ฮ ไม่ได้ แต่บอกให้เขียนเป็นตัวๆได้
• เขียนพยัญชนะ หรือ ตัวเลขกลับด้าน คล้ายมองจากกระจกเงา
• เขียนคำตามตัวสะกด เช่น เกษตร เป็น กะเสด
• จับดินสอหรือปากกาแน่นมาก
• สะกดคำผิด โดยเฉพาะคำพ้องเสียง ตัวสะกดแม่เดียวกัน ตัวการันต์
• เขียนหนังสือช้าเพราะกลัวสะกดผิด
• เขียนไม่ตรงบรรทัด ขนาดตัวอักษรไม่เท่ากัน ไม่เว้นขอบ ไม่เว้นช่องไฟ
• ลบบ่อยๆ เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง
ตัวอย่างของเด็ก L.D. ด้านการเขียน
เด็กปกติ เด็กที่บกพร่องด้านการอ่าน
บาดแผล ------------------------------> ปาลแผล
รัฐบาล ------------------------------> รัมระบาล
ผีเสื้อสมุทร ------------------------------> ผีเสื้อมดุร
กรรไกร ------------------------------> ไกรรง
เกษตร ------------------------------> เกสรกะ
เด็กที่มีความบกพร่องในด้านนี้จะลำดับตัวเลขผิด
ไม่เข้าใจเรื่องการทดเลขหรือการยืมเลขเวลาทำการบวกหรือลบ
ไม่เข้าหลักเลขหน่วย สิบ ร้อย และแก้โจทย์ปัญหาเลขไม่ได้
ลักษณะของเด็ก LD ด้านการคำนวณ
• ไม่เข้าใจค่าของตัวเลขเช่นหลักหน่วยสิบร้อยพันหมื่นเป็นเท่าใด
• นับเลขไปข้างหน้าหรือถอยหลังไม่ได้
• คำนวณบวกลบคูณหารโดยการนับนิ้ว
• จำสูตรคูณไม่ได้
• เขียนเลขกลับกันเช่น 13 เป็น 31
• ทดไม่เป็นหรือยืมไม่เป็น
• ตีโจทย์เลขไม่ออก
• คำนวณเลขจากซ้ายไปขวาแทนที่จะทำจากขวาไปซ้าย
• ไม่เข้าใจเรื่องเวลา
4. หลายๆ ด้านร่วมกัน
คำว่าหลายๆ ด้านรวมกันนี้คือ ความบกพร่องด้านการอ่านกับการเขียนควบคู่กัน
โดยเด็กผู้ชายจะเป็น L.D. มากกว่าผู้หญิงสองเท่า
และในด้านการคำนวณนี้เด็กผู้หญิงจะเป็นL.D. มากกว่าผู้ชายสองเท่าเช่นกัน
อาการที่มักเกิดร่วมกับ LD
• แยกแยะขนาดสีและรูปร่างไม่ออก
• มีปัญหาความเข้าใจเกี่ยวกับเวลา
• เขียน/อ่านตัวอักษรสลับซ้าย-ขวา
• งุ่มง่ามการประสานงานของกล้ามเนื้อไม่ดี
• การประสานงานของสายตา-กล้ามเนื้อไม่ดี
• สมาธิไม่ดี (เด็ก LD ร้อยละ 15-20 มีสมาธิสั้น ADHD ร่วมด้วย)
• เขียนตามแบบไม่ค่อยได้
• ทำงานช้า
• การวางแผนงานและจัดระบบไม่ดี
• ฟังคำสั่งสับสน
• คิดแบบนามธรรมหรือคิดแก้ปัญหาไม่ค่อยดี
• ความคิดสับสนไม่เป็นขั้นตอน
• ความจำระยะสั้น/ยาวไม่ดี
• ถนัดซ้ายหรือถนัดทั้งซ้ายและขวา
• ทำงานสับสนไม่เป็นขั้นตอน
7. ออทิสติก (Autistic)
ออทิสติกหรือ ออทิซึ่ม (Autism)
คือเด็กที่ไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่สามารถเข้าใจคำพูด
ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
และไม่สามารถที่จะสื่อสารกับคนรอบข้างและสังคม
โดยเด็กออทิสติกแต่ละคนนั้นจะมีเอกลักษณ์ของตนเองและจะเป็นออทิสติกแบบนี้ติดตัวเด็กไปตลอดชีวิต
เราสามารถสังเกตเด็กว่าเป็นออทิสติกได้ด้วยอาการของเค้า คือ
เด็ดออทิสติกจะ "ไม่สบตา ไม่พาที ไม่ชี้นิ้ว"
ลักษณะของเด็กออทิสติก
• อยู่ในโลกของตนเอง
• ไม่เข้าไปหาใครเพื่อให้ปลอบใจ
• ไม่เข้าไปเล่นในกลุ่มเพื่อน
• ไม่ยอมพูด
• เคลื่อนไหวแบบซ้ำๆ
อาการของเด็กปกติ อาการของเด็กออทิสติก
ดูหน้าแม่ --------------> ไม่มองตา
หันไปตามเสียง --------------> ทำเหมือนหูหนวก
เรียนรู้คำพูดเพิ่มเติม --------------> เคยพูดได้แต่ต่อมาหยุดพูด
ร้องเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้าใกล้ --------------> ไม่สนใจคนรอบข้าง
จำหน้าแม่ได้ --------------> จำคนไม่ได้
เปลี่ยนของเล่น --------------> นั่งเล่นอย่างใดอย่างหนึ่ง
เคลื่อนไหวอย่างมีจุดมุ่งหมาย --------------> มีพฤติกรรมแปลก
สำรวจและเล่นตุ๊กตา --------------> ดมหรือเลียตุ๊กตา
ชอบความสุขและกลัวความเจ็บ -------------->
**เกณฑ์การวินิจฉัยออทิสติกองค์การอนามัยโลกและสมาคมจิตแพทย์อเมริกา**
ความผิดปกติของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างน้อย 2 ข้อ
– ไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางสื่อสารทางสังคมกับบุคคลอื่น
– ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคลให้เหมาะสมตามวัย
– ขาดความสามารถในการแสวงหาการมีกิจกรรม ความสนใจ และความสนุก สนานร่วมกับผู้อื่น
– ขาดทักษะการสื่อสารทางสังคมและทางอารมณ์กับบุคคลอื่น
ความผิดปกติด้านการสื่อสารอย่างน้อย 1 ข้อ
– มีความล่าช้าหรือไม่มีการพัฒนาในด้านภาษาพูด
– ในรายที่สามารถพูดได้แล้วแต่ไม่สามารถที่จะเริ่มต้นบทสนทนาหรือโต้ตอบบทสนทนากับผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม
– พูดซ้ำๆ หรือมีรูปแบบจำกัดในการใช้ภาษา เพื่อสื่อสารหรือส่งเสียงไม่เป็นภาษาอย่างไม่เหมาะสม
– ไม่สามารถเล่นสมมุติหรือเล่นลอกตามจินตนาการได้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ
มีพฤติกรรม ความสนใจ และกิจกรรมที่ซ้ำๆ และจำกัด อย่างน้อย 1 ข้อ
– มีความสนใจที่ซ้ำๆ อย่างผิดปกติ
– มีกิจวัตรประจำวันหรือกฎเกณฑ์ที่ต้องทำโดยไม่สามารถยืดหยุ่นได้ ถึงแม้ว่ากิจวัตรหรือกฎเกณฑ์นั้นจะไม่มีประโยชน์
– มีการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ
– สนใจเพียงบางส่วนของวัตถุ
พฤติกรมการทำซ้ำ
• นั่งเคาะโต๊ะ หรือโบกมือนานเป็นชั่วโมง
• นั่งโยกหน้าโยกหลังเป็นเวลานาน
• วิ่งเข้าห้องนี้ไปห้องโน้น
• ไม่ยอมให้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
พบความผิดปกติอย่างน้อย 1 ด้าน (ก่อนอายุ 3 ขวบ)
– ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม
– การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย
– การเล่นสมมติหรือการเล่นตามจินตนาการ
ไม่สามารถวินิจฉัยให้เข้าข่ายโรคใดๆได้
ออทิสติกเทียม
• ปล่อยให้เป็นพี่เลี้ยงดูแลหรืออยู่กับผู้สูงอายุ
• ปล่อยให้ลูกอยู่กับไอแพด
• ดูการ์ตูนในทีวี
Autistic Savant
• กลุ่มที่คิดด้วยภาพ (visual thinker)
จะใช้การการคิดแบบอุปนัย (bottom up thinking)
• กลุ่มที่คิดโดยไม่ใช้ภาพ (music, math and memory thinker)
จะใช้การคิดแบบนิรนัย (top down thinking)
ที่มา : เอกสารการสอน โดยอาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
เรียบเรียง : นางสาวนพเก้า โมลาขาว นักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย
ความรู้ที่ได้รับ
เราได้รู้
และได้เข้าใจรายละเอียดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น
ได้รู้ถึงอาการ สาเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่หมอ
แต่การทราบถึงรายละเอียดต่างๆ
ของเด็กพิเศษก็ทำให้เราสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กพิเศษได้ในฐานะครูคนหนึ่ง
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
1. ทำให้เรารู้ และเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากยิ่งขึ้น
2. เมื่อเรารู้และเข้าใจแล้ว ในฐานะที่เราเป็นครูปฐมวัยเราต้องให้ความช่วยเหลือและจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเขา
การประเมินผล
1. ตนเอง :ตั้งใจเย็น จดความรู้
2. เพื่อน : ตั้งใจเรียนมาก สนุกกับสิ่งที่อาจารย์สอน
3. อาจารย์ :สอนดี ถึงแม้จะเป็นคาบทฤษฎีก็เรียนได้โดยไม่เบื่อ และไม่อึดอัด
ชอบที่มีเคทของเด็กจากประสบการณ์ที่อาจารย์เจอมาเล่าให้นักศึกษาฟัง
นับว่าเป็นความรู้ที่นักศึกษาเหมือนกับได้สัมผัสกับของจริงเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น