เด็กที่มีความต้องการพิเศษ (Children with special needs )
ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เด็กที่มีความต้องการพิเศษจะถูกเรียกหรือให้ความหมายที่แตกต่างกันไป
ซึ่งในที่นี้เราจะแบ่งความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษออกเป็นสองทาง
ดังนี้
1. ทางการแพทย์
ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่า
“เด็กพิการ” หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสีย สมรรถภาพ
อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา
ทางจิตใจ
2. ทางการศึกษา
ทางการศึกษาให้ความหมายเด็กที่มีความต้องการพิเศษว่าหมายถึง
เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง
ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหา หลักสูตร
กระบวนการที่ใช้ และการประเมินผล
สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง
• เด็กที่ไม่อาจพัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือ และการสอนตามปกติ
• มีสาเหตุจากสภาพความ บกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
• จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือ การบำบัด และฟื้นฟู
• จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะ และความต้องการของเด็กแต่ละบุคล
พฤติกรรมและพัฒนาการของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
พัฒนาการ
• การเปลี่ยนแปลงในด้านการทำหน้าที่และวุฒิภาวะของอวัยวะต่างๆรวมทั้งตัวบุคคล
• ทำให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
• เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ากว่าเด็กปกติในวัยเดียวกัน
• พัฒนาการล่าช้าอาจพบเพียงด้านใดด้านหนึ่ง หลายด้าน หรือทุกด้าน
• พัฒนาการล่าช้าในด้านหนึ่งอาจส่งผลให้พัฒนาการในด้านอื่นล่าช้าด้วยก็ได้
ปัจจัยที่มีผลต่อพัฒนาการเด็ก
• ปัจจัยทางด้านชีวภาพ
• ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมก่อนคลอด
• ปัจจัยด้านกระบวนการคลอด
• ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมหลังคลอด
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการ
สาเหตุที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางพัฒนาการนี้ หลักๆ แล้วมีทั้งหมด 8 สาเหตุด้วยกัน ดังนี้
1. พันธุกรรม
•
เด็กจะมีพัฒนาการล่าช้ามาตั้งแต่เกิดหรือสังเกตได้ชั่วระยะไม่นานหลังเกิด
มักมีลักษณะผิดปกติแต่กำเนิดร่วมด้วย เช่น เด็กปากแหว่ง/เพดานโหว่ (Cleft Lip / Cleft Palate) และธาลัสซีเมีย ตาบอดสี ดาวน์ซินโดม เท้าแสนปม ผิวเผือก เป็นต้น
เด็กปากแหว่ง/เพดานโหว่ (Cleft Lip / Cleft Palate) |
ธาลัสซีเมีย |
ดาวน์ซินโดม ( down's syndrome) |
2. โรคของระบบประสาท
• เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการส่วนใหญ่มักมีอาการหรืออาการแสดงทางระบบประสาทร่วมด้วย
• ที่พบบ่อยคืออาการชัก
3. การติดเชื้อ
• การติดเชื้อตั้งแต่อยู่ในครรภ์ น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย ศีรษะเล็กกว่าปกติ อาจมีตับม้ามโต การได้ยินบกพร่อง ต้อกระจก
• นอกจากนี้การติดเชื้อรุนแรงภายหลังเกิด เช่น สมองอักเสบ เยื้อหุ้มสมองอักเสบ เป็นสาเหตุที่พบได้บ้าง
4. ความผิดปกติเกี่ยวกับเมตาบอลิซึม
• โรคที่ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทย คือ ไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดต่ำ
5. ภาวะแทรกซ้อนระยะแรกเกิด
• การเกิดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย และภาวะขาดออกซิเจน
6. สารเคมี
6.1 สารตะกั่ว เป็นสารที่มีผลกระทบต่อเด็กและมีการศึกษามากที่สุด
ซึ่งสารตะกั่วนี้จะมีอยู่ในภาชนะที่เราใช้ทำอาหารกับ เช่น หม้อ กระทะ
เป็นต้น ซึ่งถ้าได้รับสารตะกั่วในปริมาณมากจะมีอาการดังนี้
• มีอากาศซึมเศร้า เคลื่อนไหวช้า ผิวดำหมองคล้ำเป็นจุดๆ
• ภาวะตับเป็นพิษ
• ระดับสติปัญญาต่ำ
6.2 แอลกอฮอล์ เป็นสารที่เด็กจะได้รับตอนอยู่ในครรภ์มารดา เนื่องจากตอนท้องแม่ดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อเด็กคลอดออกมาก็จะมีอาการดังนี้
• น้ำหนักแรกเกิดน้อย
• มีอัตราการเพิ่มน้ำหนักหลังเกิดน้อย ศีรษะเล็ก
• พัฒนาการของสติปัญญาก็มีความบกพร่อง
• เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
เช่น Fetal alcohol syndrome, FAS
หรือเด็กดาวน์ซินโดมที่ได้รับผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์
เมื่อเกิดมาจะมีอาการดังนี้
• ช่องตาสั้น
• ร่องริมฝีปากบนเรียบ
• ริมฝีปากบนยาวและบาง
• หนังคลุมหัวตามาก
• จมูกแบน
6.3 สารนิโคติน เป็นสารประกอบอัลคาลอยด์ชนิดหนึ่ง
ไม่มีสี ซึ่งพบในต้นยาสูบทุกสายพันธุ์
และความเข้มข้นจะมีมากในใบยาสูบมากกว่าส่วนอื่นๆ
เมื่อนำใบยาสูบมาตากแห้งแล้ว จะมีนิโคตินประกอบอยู่ 0.3-5%
ของน้ำหนักทั้งหมด และเด็กส่วนมากที่ได้รับสารนิโคตินก็มักจะมาจากพ่อแม่ที่สูบบุหรี่ โดยเด็กจะมีอาการดังนี้
• น้ำหนักแรกเกิดน้อย ขาดสารอาหารในระยะตั้งครรภ์
• เพิ่มอัตราการตายในวัยทารก
• สติปัญญาบกพร่อง
• สมาธิสั้น พฤติกรรมก้าวร้าว มีปัญหาด้านการเข้าสังคม
7. การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการขาดสารอาหาร
• การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น สภาพแวดล้อม แต่การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งการขาดสารอาหารนี้เป็นสาเหตุที่เด็กจะได้รับผลกระทบน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ 6 สาเหตุแรกที่ยกมา
8. สาเหตุอื่นๆ
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
อาการของเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
• มีพัฒนาการล่าช้าซึ่งอาจจะพบมากกว่า 1 ด้าน
• ปฏิกิริยาสะท้อน (primitive reflex) ไม่หายไป แม้จะถึงช่วงอายุที่ควรจะหายไป
แนวทางการวินิจฉัย เด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ
1. การซักประวัติ
• โรคประจำตัว โรคทางพันธุกรรม
• การเจ็บป่วยในครอบครัว
• ประวัติฝากครรภ์
• ประวัติเกี่ยวกับการคลอด
• พัฒนาการที่ผ่านมา
• การเล่นตามวัย การช่วยเหลือตนเอง
• ปัญหาพฤติกรรม
• ประวัติอื่นๆ
เมื่อซักประวัติแล้วจะสามารถบอกได้ว่า
• ลักษณะพัฒนาการล่าช้าเป็นแบบคงที่ หรือถดถอย
• เด็กมีระดับพัฒนาการช้าหรือไม่ อย่างไร อยู่ในระดับไหน
• มีข้อบ่งชี้ว่ามีสาเหตุจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่
• สาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการนั้นเกิดจากอะไร
• ขณะนี้เด็กได้รับการช่วยเหลือและฟื้นฟูอย่างไร
2. การตรวจร่างกาย
• ตรวจร่างกายทั่วๆไปและการเจริญเติบโต
• ภาวะตับม้ามโต
• ผิวหนัง
• ระบบประสาทและวัดรอบศีรษะด้วยเสมอ
• ดูลักษณะของเด็กที่ถูกทารุณกรรม (child abuse)
• ระบบการมองเห็นและการได้ยิน
3. การสืบค้นทางห้องปฏิบัติการ
4.การประเมินพัฒนาการ
• การประเมินแบบไม่เป็นทางการ
การประเมินที่ใช้ในเวชปฏิบัติ
• แบบทดสอบ Denver II เป็นแบบทดสอบพัฒนาการเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึงอายุ ๖ ปี
เป็นการเปรียบเทียบความสามารถด้านต่างๆ กับเด็กปกติในวัยเดียวกัน
• Gesell Drawing Test คือ การวัดไอคิวแบบง่ายๆ โดยวัดความสามาถในการวาดรูปที่เป็นความสามารถตามอายุ
• แบบประเมินพัฒนาการเด็กตามคู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กอายุแรกเกิด - 5 ปี สถาบันราชานุกูล
นอกจากนี้การประเมินเด็กแบบไม่เป็นทางการสำหรับครูปฐมวัยอาจทำได้โดยการพูดคุยกับผู้ปกครอง
ต้องเป็นลักษณะที่ไม่เน้นซักถาม ให้พูดคุยกันตามปกติ
แต่ต้องได้ข้อมูลที่เราอยากรู้
แบบทดสอบ Denver II |
นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการเป็นครู คือ ปรัชญาการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ที่กล่าวไว้ว่า all children can learn! ที่มีความหมายในภาษาไทยว่า "ไม่ว่ามนุษย์จะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่ เด็กทุกคนสามารถเรียนได้"
ที่มา : เอกสารการสอน โดยอาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
เรียบเรียง : นางสาวนพเก้า โมลาขาว นักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย
ความรู้ที่ได้รับ
ได้ทราบถึงความหมาย ปัจจัย สาเหตุ อาการ รวมไปถึงแนวทางการวินิจฉัยของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
1. ทำให้เรารู้ และเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากยิ่งขึ้น
2. เมื่อเรารู้และเข้าใจแล้ว ในฐานะที่เราเป็นครูปฐมวัยเราต้องให้ความช่วยเหลือและจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเขา
การประเมินผล
1. ตนเอง :ตั้งใจเย็น จดความรู้
2. เพื่อน : ตั้งใจเรียนมาก สนุกกับสิ่งที่อาจารย์สอน
3.
อาจารย์ :สอนดี ถึงแม้จะเป็นคาบทฤษฎีก็เรียนได้โดยไม่เบื่อ และไม่อึดอัด
ชอบที่มีเคทของเด็กจากประสบการณ์ที่อาจารย์เจอมาเล่าให้นักศึกษาฟัง
นับว่าเป็นความรู้ที่นักศึกษาเหมือนกับได้สัมผัสกับของจริงเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น