Diary no.3

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 3 วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2560 เวลา 13.30 - 16.30


ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ  

ประเภทเด็กที่มีความต้องการพิเศษเราแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง
          กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง คือ เด็กที่มีความเป็นเลิศทางสติปัญญา เรียกโดยทั่วๆไปว่า “เด็กปัญญาเลิศ”
เด็กปัญญาเลิศ (Gifted Child)
     • เด็กที่มีความสามารถทางสติปัญญา
   • มีความถนัดเฉพาะทางสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน ซึ่งเด็กจะมีความสามารถเด่นในด้านใดด้านหนึ่งเช่น คณิตศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี วิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ลักษณะของเด็กปัญญาเลิศ
     • พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจสูงกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
     • เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
     • อยากรู้อยากเห็นอย่างจริงจัง ชอบซักถาม
     • มีเหตุผลในการแก้ปัญหา การใช้สามัญสำนึก
     • จดจำได้รวดเร็วและแม่นยำ
     • มีความรู้ ใช้คำศัพท์เกินวัย
     • มีความคิดริเริ่ม มีวิธีการคิดและแนวคิดแปลกๆ
     • เป็นคนตื่นตัว เฉียบแหลม ว่องไว และช่างสังเกต
     • มีแรงจูงใจ และมีความมานะบากบั่นมีความจริงจังในการทำงาน
     • ชอบแสวงหาสิ่งท้าทายความคิดความอ่าน
ความแตกต่างระหว่าเด็กฉลาด กับเด็ก Gifted 

           เด็กฉลาด                                                             Gifted

     • ตอบคำถาม                                                        ตั้งคำถาม 
     • สนใจเรื่องที่ครูสอน                                              เรียนรู้สิ่งที่สนใจ
     • ชอบอยู่กับเด็กอายุเท่ากัน                                       ชอบอยู่กับผู้ใหญ่หรือเด็กที่โตกว่า
     • ความจำดี                                                           • อยากรู้อยากเห็น ชอบคาดคะเน
     • เรียนรู้ง่ายและเร็ว                                                  เบื่อง่าย
     • เป็นผู้ฟังที่ดี                                                         ชอบเล่า
     • พอใจในผลงานของตน                                          ติเตียนผลงานของตน
2. กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง
            เด็กกลุ่มนี้จะมีความบกพร่องที่แตกต่างกันไปในแต่ละด้าน ซึ่งในที่นี้เราแบ่งเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่องออกเป็น 9 ประเภท ดังนี้
     1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
     2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
     3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น
     4. เด็กที่บกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
     5. เด็กที่บกพร่องทางการพูดและภาษา
     6. เด็กที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
     7. เด็กที่บกพร่องทางการเรียนรู้
     8. เด็กออทิสติก
     9. เด็กพิการซ้อน
และในแต่ละประเภทมีรายละเอียดดังนี้
     1. เด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
            หมายถึง เด็กที่มีระดับสติปัญญาหรือเชาว์ปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย เมื่อเทียบกับเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ เด็กเรียนช้า และเด็กปัญญาอ่อน
เด็กเรียนช้า
      - สามารถเรียนในชั้นเรียนปกติได้
      - เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ
      - ขาดทักษะในการเรียนรู้
      - มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย
      - มีระดับสติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
   1. ภายนอก
     • เศรษฐกิจของครอบครัว
     • การสร้างเสริมประสบการณ์ให้แก่เด็ก
     • สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
     • การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
     • วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
   2. ภายใน
     • พัฒนาการช้า
     • การเจ็บป่วย
เด็กปัญญาอ่อน
     - ระดับสติปัญญาต่ำ
     - พัฒนาการล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย
     - มีพฤติกรรมการปรับตนบกพร่อง
     - อาการแสดงก่อนอายุ 18
พฤติกรรมการปรับตน
     • การสื่อความหมาย
     • การดูแลตนเอง
     • การดำรงชีวิตภายในบ้าน
     • การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในสังคม
     • การใช้แหล่งทรัพยากรในชุมชน
     • การควบคุมตนเอง
     • การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน
     • การใช้เวลาว่าง
     • การทำงาน
     • การมีสุขอนามัยและความปลอดภัยเบื้องต้น
          นอกจากนี้แล้วเด็กปัญญาอ่อนจะแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก IQ ต่ำกว่า 20
      - ไม่สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย
      - ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2. เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก IQ 20-34
     - ไม่สามารถเรียนได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันเบื้องต้นแบบง่าย ๆ
     - กลุ่มนี้เรียกโดยทั่วไปว่า C.M.R (Custodial Mental Retardation)
3. เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง IQ 35-49
     - พอที่จะฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้
     - สามารถฝึกอาชีพ หรือทำงานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความละเอียดลออได้
     - เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
4. เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย IQ 50-70
     - เรียนในระดับประถมศึกษาได้
     - สามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้
     - เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางสติปัญญา
     • ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
     • ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
     • ความคิด และอารมณ์ เปลี่ยนแปลงง่าย รอคอยไม่ได้
     • ทำงานช้า
     • รุนแรง ไม่มีเหตุผล
     • อวัยวะบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
     • ช่วยตนเองได้น้อยกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
ตัวอย่างเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome
             ดาวน์ซินโดรม Down Syndrome เป็นเด็กพิเศษที่จัดอยู่ในเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีสาเหตุมาจาก ความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 ซึ่งเป็นโครโมโซมที่เกินมา 1 แท่ง ซึ่งอาการของเด็กดาวน์ซินโดรม Down Syndrome จะมีอาการดังนี้
     • ศีรษะเล็กและแบน คอสั้น
     • หน้าแบน ดั้งจมูกแบน
     • ตาเฉียงขึ้น ปากเล็ก
     • ใบหูเล็กและอยู่ต่ำ รูหูส่วนนอกจะตีบกว่าปกติ
     • เพดานปากโค้งนูน ขากรรไกรบนไม่เจริญเติบโต
     • ช่องปากแคบ ลิ้นยื่น ฟันขึ้นช้าและไม่เป็นระเบียบ
     • มือแบนกว้าง นิ้วมือสั้น
     • เส้นลายมือตัดขวาง นิ้วก้อยโค้งงอ
     • ช่องระหว่างนิ้วเท้าที่ 1 และ 2 กว้าง
     • มีความผิดปกติในระบบต่างๆ ของร่างกาย
     • บกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
     • อารมณ์ดีเลี้ยงง่าย ร่าเริง เป็นมิตร
     • มีปัญหาในการใช้ภาษาและการพูด
     • อวัยวะเพศมักเจริญเติบโตไม่เต็มที่ทั้งในชายและหญิง
การตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดกลุ่มอาการดาวน์ จะทำได้โดย
     • การเจาะเลือดของมารดาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
     • อัลตราซาวด์
     • การตัดชิ้นเนื้อรก
     • การเจาะน้ำคร่ำ
     2. เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
 
เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )

           เด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired ) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจนซึ่งเด็กกลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ เด็กหูตึง และ เด็กหูหนวก
เด็กหูตึง
            หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยิน แต่สามารถรับข้อมูลได้ โดยใช้เครื่องช่วยฟัง จำแนกกลุ่มย่อยได้ 4 กลุ่ม ดังนี้
1. เด็กหูตึงระดับน้อย ได้ยินตั้งแต่ 26-40 dB
     เด็กกลุ่มนี้จะมีปัญหาในการรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
2. เด็กหูตึงระดับปานกลาง ได้ยินตั้งแต่ 41-55 dB
     - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติในระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด
     - จะไม่ได้ยิน ได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้
     - มีปัญหาในการพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียงเบา หรือเสียงผิดปกติ
3. เด็กหูตึงระดับมาก ได้ยินตั้งแต่ 56-70 dB
     - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังและเข้าใจคำพูด
     - เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน
     - มีปัญหาในการรับฟังเสียงหลายเสียงพร้อมกัน
     - มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ
     - พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคนไม่พูด
4. เด็กหูตึงระดับรุนแรง ได้ยินตั้งแต่ 71-90 dB
     - เด็กจะมีปัญหาในการรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก
     - ได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต
     - การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียง
     - เด็กจะมีปัญหาในการแยกเสียง
     - เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
เด็กหูหนวก
      - เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน
      - เครื่องช่วยฟังไม่สามารถช่วยได้
      - ไม่สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้
      - ระดับการได้ยินตั้งแต่ 91 dB ขึ้นไป
ลักษณะของเด็กที่บกพร่องทางการได้ยิน
     • ไม่ตอบสนองเสียงพูด เสียงดนตรี มักตะแคงหูฟัง
     • ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
     • พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
     • พูดด้วยเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
     • พูดด้วยเสียงต่ำหรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
     • เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
     • รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
     • มักทำหน้าที่เด๋อเมื่อมีการพูดด้วย

ระดับความดังของเสียง

     3. เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments)
      - เด็กที่มองไม่เห็นหรือพอเห็นแสง เห็นเลือนราง
      - มีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
      - สามารถเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ
      - มีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา
            เด็กที่บกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments) นี้จะจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ เด็กตาบอด และ เด็กตาบอดไม่สนิท
เด็กตาบอด
      - เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรือมองเห็นบ้าง
      - ต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นในการเรียนรู้
      - มีสายตาข้างดีมองเห็นได้ในระยะ 6/60 , 20/200 ลงมาจนถึงบอดสนิท
     - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดแคบกว่า 5 องศา
เด็กตาบอดไม่สนิท
      - เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา
      - สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
      - เมื่อทดสอบสายตาข้างดีจะอยู่ในระดับ 6/18, 20/60, 6/60, 20/200 หรือน้อยกว่านั้น
      - มีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการเห็น
     • เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
     • มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
     • มักบ่นว่าปวดศีรษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา
     • ก้มศีรษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
     • เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อใช้สายตา
     • ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
     • มีความลำบากในการจำ และแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต


ที่มา : เอกสารการสอน โดยอาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
เรียบเรียง : นางสาวนพเก้า  โมลาขาว นักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย

ความรู้ที่ได้รับ
            เราได้รู้ และได้เข้าใจรายละเอียดของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละประเภทได้ดียิ่งขึ้น ได้รู้ถึงอาการ สาเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ใช่หมอ แต่การทราบถึงรายละเอียดต่างๆ ของเด็กพิเศษก็ทำให้เราสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กพิเศษได้ในฐานะครูคนหนึ่ง

การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
1. ทำให้เรารู้ และเข้าใจเด็กที่มีความต้องการพิเศษมากยิ่งขึ้น
2. เมื่อเรารู้และเข้าใจแล้ว ในฐานะที่เราเป็นครูปฐมวัยเราต้องให้ความช่วยเหลือและจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเขา

การประเมินผล
1. ตนเอง :ตั้งใจเย็น จดความรู้
2. เพื่อน : ตั้งใจเรียนมาก สนุกกับสิ่งที่อาจารย์สอน
3. อาจารย์ :สอนดี ถึงแม้จะเป็นคาบทฤษฎีก็เรียนได้โดยไม่เบื่อ และไม่อึดอัด ชอบที่มีเคทของเด็กจากประสบการณ์ที่อาจารย์เจอมาเล่าให้นักศึกษาฟัง นับว่าเป็นความรู้ที่นักศึกษาเหมือนกับได้สัมผัสกับของจริงเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น