Diary no.8

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 8
วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม 2560 เวลา 13.30 - 16.30

การศึกษาแบบเรียนรวม

            รูปแบบการจัดการศึกษานั้นมีด้วยกันทั้งหมด 4 รูปแบบ คือ
     1. การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
     2. การศึกษาพิเศษ (Special Education)
     3. การศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
     4. การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
          โดยการจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ คือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
           ซึ่งความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming) คือ การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไปโดยมีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน ซึ่งครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษจะต้องร่วมมือกัน
           และการศึกษาแบบเรียนร่วมนั้นก็จะมีอีกแบบ คือ การเรียนร่วมบางเวลา (Integration) โดยการเรียนร่วมบางเวลานี้จะเป็นการจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติได้ในบางเวลา เพื่อให้เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ เพราะเด็กพิเศษบางคนที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมากจะไม่อาจเรียนร่วมแบบเต็มเวลาได้
การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
          การเรียนร่วมแบบเต็มเวลา คือ การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน โดยเด็กพิเศษจะได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และเด็กปกติจะต้องยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน
การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)
          การศึกษาแบบเรียนรวมนั้นหมายถึง  การศึกษาสำหรับทุกคน การรับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา และจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
Wilson , 2007
          การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก การสอนที่ดีจะเป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้ เพื่อเป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง
สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม
          การศึกษาแบบเรียนรวมเป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
          การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ดังปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน (Education for All)
            โดยเด็กจะต้องเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ “รวมกัน” ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก
ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม สำหรับเด็กปฐมวัย
     1. ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
     2. ครูปฐมวัยจะต้องมีความเชื่ออยู่เสมอว่าไม่ว่าเด็กจะเป็นแบบไหนก็แล้วแต่ครูสามารถ “ สอนได้
     3. เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด
บทบาทครูปฐมวัย ในห้องเรียนรวม
     1. ครูไม่ควรวินิจฉัย
        การวินิจฉัย หมายถึง การตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้
     2. ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
- เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
- ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
- เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ
     3. ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
- พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
- พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
- ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
- ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้
- ครูช่วยให้ผู้ปกครองมีความหวังและเห็นแนวทางที่จะช่วยให้เด็กพัฒนา
ครูทำอะไรบ้าง?
     1. ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
     2. ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
     3. สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
     4. จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ
สังเกตอย่างมีระบบ
          ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู เพราะครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก ที่มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา
ตัวอย่างแบบฟอร์มการสังเกตเด็ก เป็นการสังเกตอย่างมีระบบ
การตรวจสอบ
     1. จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
     2. เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
     3. บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ
ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
     1. ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
     2.ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
     3. พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป
การบันทึกการสังเกต
     1. การนับอย่างง่ายๆ คือ นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรมกี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง รวมไปถึงระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม
     2. การบันทึกต่อเนื่อง คือ การให้รายละเอียดได้มาก เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ
     3. การบันทึกไม่ต่อเนื่อง คือ บันทึกลงบัตรเล็กๆ เป็นการบันทึกสั้นๆ เกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง
การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
     ครูควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดของความบกพร่องพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ
การตัดสินใจ
          ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวังเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้นว่าพฤติกรรมเหล่านั้นไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่



ที่มา : เอกสารการสอน โดยอาจารย์ตฤณ แจ่มถิน
เรียบเรียง : นางสาวนพเก้า  โมลาขาว นักศึกษาสาขาการศึกษาปฐมวัย


การนำความรู้ไปประยุกต์ใช้
          การที่เราได้เรียนรู้ในรูปแบบของการศึกษาแบบเรียนร่วมนั้น ทำให้เราได้ตระหนักถึงคุณค่าของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็กปกติหรือเด็กพิเศษนั้นทุกคนมีคุณค่าภายในตัวและในฐานะที่เราเป็นครู เราต้องเชื่อเสมอว่าเด็กทุกคนเรียนได้ เราสอนได้ ซึ่งถ้าในอนาคตเราต้องไปสอนในโรงเรียนที่เรียนร่วมนั้น เราก็จะตระหนักได้ว่า ในฐานะครูเราต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด พัฒนาเด็กให้เต็มที่ที่สุด เพราะเด็กพิเศษจะพัฒนาไม่ได้เลยถ้าขาดโอกาส เพราะฉะนั้นเราต้องให้โอกาสกับเขาด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู

การประเมินผล
1. ตนเอง : ตั้งใจเรียนและจดบันทึก
2. เพื่อน : ตั้งใจเรียน สนุกกับสิ่งที่ครูสอน
3. อาจารย์ : ใช้การอธิบายที่เข้าใจง่าย และมีการยกกรณีตัวอย่างของเด็กที่อาจารย์เคยพบเจอมาบอกเล่าให้นักศึกษาฟัง ซึ่งทำให้นักศึกษาเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น